ขั้นตอนการ ต่อภาษีรถ ด้วยตัวเอง และค่าใช้จ่ายในการต่อภาษี
สำหรับนักขับทุกท่านหลายครั้งที่เรามักจะเจอกับด่านตรวจ โดยทั่วไปเจ้าหน้าที่จะเพ่งเล็งมาที่ป้ายภาษีรถของเรา หากป้ายภาษีใกล้หมดเราควรดำเนินต่อภาษี เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนปรับจากเจ้าหน้าที่ การต่อภาษีรถยนต์เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้เลย และรถยนต์ที่ขาดการต่อภาษีรถยนต์เกิน 3 ปีจะถูกระงับทะเบียนรถยนต์นั้นๆ ถูกยึดเลขและป้ายทะเบียน ต้องไปทำเรื่องที่ขนส่งเพื่อขอทำทะเบียนใหม่ ซึ่งก็ยุ่งยากไปอีกดังนั้นเราควรไปต่อภาษีไว้ก่อน ขั้นตอนการเสียภาษีรถนั้นมีทั้งการใช้บริการบริษัทฯเอกชนที่รับจ้างดำเนินการ(เสียค่าบริการเพิ่ม) และการต่อภาษีด้วยตนเองซึ่งไม่มีอะไรยากและทำได้เร็วกว่าจ้างบริษัทฯเอกชนให้ต่อภาษีให้ วันนี้จะมาแนะนำวิธีการต่อภาษีรถด้วยตนเอง และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการต่อภาษี

***บริการรับต่อภาษี ส่งถึงหน้าบ้าน สอบถามเพิ่มเติม ***

ต่อภาษีต้องรถยนต์ต้องเอาอะไรไปบ้าง
ขั้นแรกของการต่อภาษีรถยนต์ เราจำเป็นต้องเตรียมเอกสารที่สำคัญในการใช้ต่อการต่อทะเบียนรถยนต์ให้พร้อม โดยเอกสารเหล่ามีด้วยกัน ตามนี้
- เล่มทะเบียนรถยนต์ของคุณ หรือ จะเป็นสำเนาการจดทะเบียนรถยนต์ก็ได้
- เอกสาร พ.ร.บ คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ที่ยังไม่สิ้นอายุ
- ใบตรวจสภาพรถจากสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) เฉพาะรถเก๋ง รถตู้ รถปิคอัพ และรถสองแถวที่จดทะเบียนตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป และรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
- ใบติดตั้งแก๊สสำหรับรถที่มีการติดตั้งแก๊ส


*สามารถชำระภาษีรถทั่วประเทศไม่ว่ารถนั้นจะจดทะเบียนไว้ที่จังหวัดใด
เมื่อเอกสารครบแล้ว ก็มาดูกันในส่วนของช่องทางการชำระภาษีช่องทางต่างๆ กันบ้าง ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกมากมายหลากหลายช่องทาง ดังนี้
1. ชำระด้วยตนเองที่กรมการขนส่งทางบก
2. บริการเลื่อนล้อต่อภาษี (Drive Thru For Tax)
3. ชำระผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสทั่วประเทศ
4. ชำระผ่านแอพพลิเคชั่น
5. ชำระผ่านธนาคาร ที่ทำการไปรษณีย์
6. ชำระผ่านเว็บไซต์คลิก
ดูเพิ่มเติม คลิก
เช็คภาษีด้วยตนเอง 
ประเภทรถที่ให้บริการ
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รย.1) หรือ รถเก๋ง
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 12 คน (รย.2) หรือ รถตู้ และรถสองแถว
- รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รย.3) หรือ รถปิคอัพ
- รถจักรยานยนต์ (รย.12)
ไปต่อภาษีรถยนต์ต้องเตรียมเงินไปเท่าไหร่
ค่าใช้จ่ายสำหรับการไปต่อภาษีรถยนต์ กรมขนส่งจะมีการคิดค่าใช้จ่ายตามขนาดความจุของกระบอกสูบ (ซีซี) โดยเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน จะมีการคิดภาษีดังนี้
1.รถป้ายทะเบียนพื้นขาวตัวหนังสือดำ
รถป้ายทะเบียนพื้นขาวตัวหนังสือดำ (รถปกติทั่วไป) คือ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ไม่เกิน 7 ที่นั่ง เช่น รถกระบะ 4 ประตู รถเก๋ง เป็นต้น โดยการคำนวณภาษีรถจะขึ้นอยู่กับขนาดเครื่อง (cc) โดยรายละเอียดมีดังนี้
600 ซีซีแรก ซีซีละ 0.50 บาท
601 – 1,800 ซีซี ๆ ละ 1.50 บาท
เกิน 1,800 ซีซี ๆ ละ 4.00 บาท
ส่วนรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปก็จะมีส่วนลดค่าภาษีดังนี้
ปีที่ 6 ลดหย่อนได้ ร้อยละ 10
ปีที่ 7 ลดหย่อนได้ ร้อยละ 20
ปีที่ 8 ลดหย่อนได้ ร้อยละ 30
ปีที่ 9 ลดหย่อนได้ ร้อยละ 40
ปีที่ 10 และปีต่อ ๆ ไป ลดหย่อนได้ ร้อยละ 50
*หากเสียภาษีช้าต้องเสียค่าปรับ 1% ต่อเดือน (เศษของวันนับเป็น 1 เดือน)
2.รถป้ายทะเบียนพื้นขาวตัวหนังสือเขียว
รถป้ายทะเบียนพื้นขาวตัวหนังสือเขียว คือ รถบรรทุกส่วนบุคคลที่เกิน 7 ที่นั่ง การคำนวณภาษีจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักรถ โดยมีรายละเอียดดังนี้
น้ำหนักรถ 501- 750 กิโลกรัม – อัตราภาษี 450 บาท
น้ำหนักรถ 751 – 1000 กิโลกรัม – อัตราภาษี 600 บาท
น้ำหนักรถ 1001 – 1250 กิโลกรัม – อัตราภาษี 750 บาท
น้ำหนักรถ 1251 – 1500 กิโลกรัม – อัตราภาษี 900 บาท
น้ำหนักรถ 1501 – 1750 กิโลกรัม – อัตราภาษี 1,050 บาท
น้ำหนักรถ 1751 – 2000 กิโลกรัม – อัตราภาษี 1,350 บาท
น้ำหนักรถ 2001 – 2500 กิโลกรัม – อัตราภาษี 1,650 บาท
3.รถป้ายทะเบียนพื้นขาวตัวหนังสือน้ำเงิน
รถป้ายทะเบียนพื้นขาวตัวหนังสือน้ำเงิน คือ รถยนต์ส่วนบุคคลเกิน 7 ที่นั่ง การคำนวณภาษีจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักรถ แต่จะมีการคิดอัตราภาษีแตกต่างจากแบบรถบรรทุก โดยมีรายละเอียดดังนี้
น้ำหนักรถไม่เกิน 1800 กิโลกรัม – อัตราภาษี 1,300 บาท
น้ำหนักรถเกิน 1800 กิโลกรัม – อัตราภาษี 1,600 บาท
*รถค้างชำระภาษีไม่เกิน 1 ปี (รถค้างชำระภาษีเกิน 1 ปี ให้ดำเนินการตรวจสภาพรถที่สถานตรวจสภาพรถ เอกชนหรือตรอ. และยื่นชำระภาษีรถที่สำนักงานขนส่งจังหวัด/สาขา เท่านั้น)
ชำระภาษีรถล่วงหน้าก่อนสิ้นอายุภาษีได้ไม่เกิน 90 วัน*
#ค่าใช้จ่ายต่อภาษีรถ #ต่อภาษีรถ #ป้ายภาษีรถ #พ.ร.บ. #ภาษีรถ

